วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2561

รวบ 2 ผู้ต้องหาตระเวนก่อเหตุชิงทรัพย์ถีบชิงรถ จยย.

รวบ 2 ผู้ต้องหาตระเวนก่อเหตุชิงทรัพย์ถีบชิงรถ จยย.


ตำรวจภูธรภาค 1 จับกุม 2 ผู้ต้องหาตระเวนก่อเหตุชิงทรัพย์ถีบรถจักรยานยนต์ เพื่อชิงทรัพย์ผู้เสียหายเป็นชายสูงอายุ สารภาพก่อเหตุมาแล้ว 4-5 ราย ทำไปเพราะไม่มีเงินใช้จ่ายและค้างค่าหอพัก


วันนี้ ( 5 ธ.ค.) เมื่อเวลา 09.30 น. ที่ กองบัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 (บช.ภ.1) พลตำรวจโทอำพล บัวรับพร ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค1 แถลงจับกุม นายสุพร ศุภประดิษฐ์ อายุ 23 ปี และ นายศรัณย์ ท้าวกัญญา อายุ 21 ปี โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันชิงทรัพย์ในเวลากลางคืน โดยมีอาวุธ เป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายแก่ร่างกายหรือจิตใจ” ทั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อเช้ามืดของวันที่ 28 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา  ผู้ต้องหาทั้งสองรายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์พร้อมอาวุธมีดก่อเหตุชิงทรัพย์ชายสูงวัย อายุ  76 ปี  ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์กลับจากซื้ออาหารที่ร้านค้าบริเวณหน้าศูนย์ศิลปาชีพบางไทร ตามถนนเลียบคลองร่มไทร เพื่อกลับบ้านพัก โดยคนร้าย 2 คนได้ขับรถตามหลังมาและถีบท้ายรถของผู้เสียหายจนล้มลง จากนั้น 1 ในคนร้ายใช้มีดสปาต้า จี้ชิงเงินของผู้เสียหายไป 20 บาท และนำรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายขับหลบหนีไป  

นอกจากนี้ จากการสืบสวนยังพบว่าก่อนหน้านี้คนร้ายได้ลงมือก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์ชายอายุ 65 ปี ซึ่งขับขี่รถจักรยานสองล้อผ่านไปก่อน แต่เนื่องจากชายคนดังกล่าวไม่มีทรัพย์สินติดตัวจึงไม่ได้ทรัพย์สินไป ในขณะเดียวกันผู้เสียหายได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านมา คนร้ายจึงรีบติดตามไปก่อเหตุจี้ชิงทรัพย์ ซึ่งจากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดพบคนร้ายเข้าไปที่ร้านสะดวกซื้อ ย่านชุมชนวัดเชิงเลนในช่วงก่อนเกิดเหตุด้วย จึงสามารถตามไปจับกุมได้พร้อมตรวจยึดของกลางรถจักรยายนต์อีก 4 คัน ซึ่งเป็นของผู้เสียหายรายอื่น ๆ

ทั้งนี้ จากการสอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพว่า เนื่องจากกำลังตกงาน ไม่มีเงินใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และจ่ายค่าห้องพักจึงตระเวนก่อเหตุส่วนรถจักรยานยนต์ที่ได้มาจะนำไปขายต่อให้กับผู้รับซื้อรายหนึ่งในราคาคันละ 3,000 บาท ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างการขยายผลไปขอศาลอนุมัติหมายจับ ส่วนการตรวจสอบประวัติผู้ต้องหาทั้งสองคน พบว่าคนหนึ่งเคยถูกจับกุมคดรพรากผู้เยาว์ ส่วนอีกคนถูกจับกุมคดีลักรถยนต์ ก่อนจะพ้นโทษเมื่อ 2 ปีก่อนแล้วกลับมาก่อเหตุอีกครั้ง 

ขณะที่ผู้เสียหายทั้งสองราย ระบุสั้น ๆ ว่า หลังจากนี้ก็จะต้องระมัดระวังตัวให้มากขึ้น และหากจะเดินทางเดินทางไปไหนมาไหนก็จะต้องรอให้สว่างก่อนค่อยออกเดินทาง







ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น