วันเสาร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2562

“วิระชัย”เปิดโครงการ ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม กลับบ้านปลอดภัย “แอลกอฮอล์”ต้องเป็นศูนย์ 


 เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 14 ธ.ค.62 ที่ปั๊มปตท. ร.1 รอ. ถนนวิภาวดีรังสิต กทม.พล.ต.อ.ดร.วิระชัย ทรงเมตตา รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย นายเควนติน จ๊อบ กรรมการผู้จัดการบริษัท เพอร์นอต ริคาร์ด ประเทศไทย จำกัด บริษัทนาคาธิบดี จำกัด เจ้าหน้าที่จากกองบังคับการตำรวจนครบาล2 ตำรวจทางหลวง ตำรวจท่องเที่ยว เจ้าหน้าที่กู้ภัยประมาณ 150 นาย โดยมีการแต่งตัวในชุดยมทูต ยมบาล ร่วมกันรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม ร่วมกันรับผิดชอบสังคม”เพื่อปลูกจิตสำนึกในเรื่องความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนนให้แก่ประชาชนชาวไทยที่จะ เดินทางกลับบ้านในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2563 ที่กำลังจะถึงนี้



โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วง 7 วันอันตราย พล.ต.อ.ดร.วิระชัย กว่าว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีความตั้งใจที่จะสร้างจิตสำนึกด้านความปลอดภัยทางถนนให้แก่ผู้ใช้รถใช้ถนนโดยร่วมมือกับหน่วยงานภาคเอกชนในการสนับสนุนโครงการ ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม ร่วมกันรับผิดชอบต่อสังคม และรักษาวินัยจราจรโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวันหยุดยาวที่มีผู้สัญจรไปมาเป็นจำนวนมากและในช่วง 7 วันอันตรายปีใหม่ 2563 ระหว่างวันที่ 27 ธ.ค. 62- 2 ม.ค. 63 คาดว่าจะมีรถรถยนต์เข้า-ออก กทม. กว่า 8.6 ล้านคัน และเมื่อช่วง 7 วันอันตรายของปีใหม่ 2562ที่ผ่านมาเกิดอุบัติเหตุรวม 3,791 ครั้ง ตาย 463 ราย เจ็บ 3,892 ราย อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นมาที่สุดมาจาก ดื่มแล้วขับและขับรถเร็ว ดังนั้นทางเราจึงได้ร่วมกันรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่มเพื่อให้“แอลกอฮอล์”เป็นศูนย์ตามท้องถนน ในช่วงเทศกาลปีใหม่นี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะมุ่งเน้นในเรื่องของการอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้กับประชาชน พิจารณาแผนอำนวยความสะดวกและปลอดภัยฯ ต่างๆ และลดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ตามนโยบายรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กำหนดให้ “ปีใหม่นี้จะต้องมีผู้เสียชีวิตทางถนนลดลงจากค่าเฉลี่ย 3 ปี ย้อนหลังมา และในขณะเดียวกันก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย นอกจากนี้เรายังได้กำหนด 5 มาตรการอำนวยความสะดวก



ได้แก่ 1. แผนการให้บริการและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนที่เดินทาง 2. อำนวยความสะดวกด้านการจราจร 3. จัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในสถานีตำรวจ พร้อมเจ้าหน้าที่ให้บริการประชาชนภายในจุกพักรถ 4. อำนวยความสะดวกด้านข้อมูลการจราจรที่สายด่วน 1179 ตลอด 24 ชั่วโมง 5. จัดให้บริการประชาชน โดยตั้งจุดบริการในสถานีตำรวจทางหลวง เส้นทางสำคัญ เพื่อให้บริการแก่ผู้เดินทางตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีจุดบริการร่วมกับภาคีเครือข่าย เพื่อให้บริการช่วยเหลือผู้เดินทางกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน บริการที่พักผ่อน น้ำดื่ม บริการข้อมูลต่างๆ และบริการตรวจสภาพรถไม่คิดค่าใช้จ่าย


 พล.ต.อ.ดร.วิระชัย กว่าต่อว่า การบังคับใช้กฎหมายจะเข้มงวดในการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ของผู้ขับขี่ทั้ง 2 ฝ่าย กรณีเกิดอุบัติเหตุจราจรเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต และดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดกับผู้กระทำผิดที่เมาแล้วขับหรือแข่งรถในทางจนเป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บสาหัสหรือถึงแก่ความตาย นอกจากนี้ยังบังคับใช้ 10 ร. คือ ขับขี่รถเร็ว, ขับรถย้อนศร, ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณจราจร, ขับรถไม่คาดเข็มขัดนิรภัย, ขับรถไม่มีใบอนุญาต, ขับรถแซงในที่คับขัน, ขับขี่ขับรถในขณะเมาสุรา, ขับขี่รถและผู้โดยสารไม่สวมหมวกนิรภัย, ขับรถจักรยานยนต์ในลักษณะที่ไม่ปลอดภัย, ขับรถใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่, นอกจากนี้ขนส่งยังให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการตรวจสอบการกระทำผิดของรถประเภทต่าง ๆ ภายใต้กฎหมายว่าด้วยการจราจรทางบก ซึ่งกรมการขนส่งทางบก จะแบ่งรางวัลนำจับ 50% แก่ผู้แจ้งเบาะแสให้แก่เจ้าหน้าที่ จนสามารถดำเนินการกับผู้กระทำผิดได้ จุดประสงค์เพื่อให้คนไทยตระหนักถึงความมีวินัย เคารพกฎหมายจราจร รวมถึงเคารพสิทธิของบุคคลอื่นด้วย หากทุกคนใช้รถอย่างมีระเบียบวินัย ทุกคนก็จะปลอดภัย หากเริ่มต้นที่ตัวเองได้ก็จะทำให้คนอื่นๆ ปลอดภัยไปด้วย


นายเควนติน จ๊อบ กรรมการผู้จัดการบริษัท เพอร์นอต ริคาร์ด ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่าวัตถุประสงค์ของโครงการเพื่อสนับสนุนการรณรงค์ที่มีส่วนร่วมเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือกับหน่วยงานภาครัฐบาลอย่างเป็นทางการ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่มีความเสี่ยง ลดการบริโภคที่ก่อให้เกิดอุบัติเหตุอันเกิดมาจากดื่มแล้วขับ ความสำคัญของโครงการจากการรณรงค์ “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม” ร่วมรับผิดชอบสังคมลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปลายปี2563 พื้นที่ร่วมรณรงค์ กรุงเทพมหานคร และ 4 จังหวัดที่มีสถิติการเกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ,จังหวัดขอนแก่น,จังหวัดพิษณุโลก,จังหวัดชลบุรี กิจกรรมของการรณรงค์โครงการ “ดื่มไม่ขับ ขับไม่ดื่ม ร่วมรับผิดชอบสังคม”


มีการแจกแผ่น หอมรถยนต์, หมวกกันน็อคครึ่งใบ,กระเป๋ากันง่วงให้กับประชาชน ในส่วนของตำรวจก็มี กระบองไฟ ไฟฉาย อุปกรณ์ในการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน และจากแผนงานรณรงค์ในครั้งนี้จะเน้นยุทธวิธีการเข้าถึงกลุ่มผู้เป้าหมายผู้ใช้รถบนทางหลวงโดยตรงแบบเจาะจงควบคู่กับการประชาสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อให้ “แอลกอฮอล์”เป็นศูนย์ ตามท้องถนน






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น