วันอังคารที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2564

กอ.รมน. ผนึก วช. มุ่งสร้างตำบลต้นแบบ 15 จังหวัด ผ่านปราชญ์เพื่อความมั่นคง และเครือข่ายภาคประ ชาชน ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 

กอ.รมน. ผนึก วช. มุ่งสร้างตำบลต้นแบบ 15 จังหวัด ผ่านปราชญ์เพื่อความมั่นคง และเครือข่ายภาคประ ชาชน ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร 


(กอ.รมน.) และสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ร่วมเดินหน้าสร้างความเข้มแข็งกลุ่มมวลชน ปราชญ์เพื่อความมั่นคงและภาคประชาชน โดยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิต เสริมสร้างอาชีพและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ด้วยงานวิจัยและนวัตกรรม อันสอดคล้องตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 



 วันนี้ (30 มีนาคม 2564) เวลา 09.00 น. ที่ ชลพฤกษ์ รีสอร์ท จังหวัดนครนายก พลเอกวรเกียรติ รัตนานนท์ เลขาธิการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และ ดร. วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เป็นประธานเปิดกิจกรรมเสริมสร้างปราชญ์เพื่อความมั่นคงและเครือข่ายภาคจังหวัดเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน พร้อมเยี่ยมชมผลงานผลิตภัณฑ์การเกษตร จากเครือข่ายภาคประชาชนในหลายจังหวัด กิจกรรมนี้จัดขึ้นเพื่อบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคความมั่นคง และภาคการวิจัย ในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ปราชญ์เพื่อความมั่นคง และเครือข่ายภาคจังหวัด ซึ่งเป็นฐานสำคัญของประเทศในการร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาและการแก้ไขปัญหาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน รวมถึงการเสริมสร้างความรู้ด้านความมั่นคงของชาติ การพัฒนาปราชญ์ พัฒนาชุมชนต้นแบบ นำสู่ตำบลมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน 



ระหว่างวันที่ 29 มีนาคม – 1 เมษายน 2564 สำหรับการดำเนินงาน ศปป.1 กอ.รมน. ได้คัดกรององค์ความรู้ที่พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาในพื้นที่ 61 ชุมชน ใน 21 จังหวัด และ วช. ได้คัดกรององค์ความรู้ที่พร้อมถ่ายทอดขยายผลและสอดคล้องกับบริบทความต้องการของพื้นที่เป้าหมาย จำนวน 11 องค์ความรู้/เทคโนโลยี ซึ่งในระยะที่ 1 ปีงบประมาณ 2562 วช. ได้สนับสนุนงานวิจัยและนวัตกรรมในการเพิ่มศักยภาพชุมชนให้มีความเข้มแข็งตามโจทย์ความต้องการของพื้นที่ชุมชน ซึ่งเป้าหมายของ กอ.รมน. จำนวน 231 ชุมชน ซึ่งชุมชนได้กำหนดความต้องการไว้ 5 เทคโนโลยี ปีงบประมาณ 2563 เป็นการดำเนินงานระยะที่ 2 ระยะนี้ได้เสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน จนสามารถพึ่งพาตนเองได้ และตั้งเป้าให้เป็นชุมชนต้นแบบนำวิจัยและนวัตกรรมมาปรับวิถีชีวิตเป็นชุมชนเข้มแข็ง ในปีงบประมาณ 2564 นี้ วช. และ ศปป.1 กอ.รมน. ได้มีเป้าหมายสร้างตำบลมั่นคง มั่งคั่ง ต้นแบบ ใน 15 จังหวัด โดยดำเนินการตามนโยบายบูรณาการขับเคลื่อนการปฏิบัติงานของทั้งสำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง (สยย.) กอ.รมน. ร่วมด้วย ศปป.1 กอ.รมน. และ ศปป. 4 กอ.รมน 


ซึ่งได้กำหนดพื้นที่เป้าหมายระดับตำบล ให้สอดคล้องกับการนำงานวิจัยและนวัตกรรม ไปช่วยในการยกระดับศักยภาพความเข้มแข็งของชุมชนและตามความต้องการของประชาชนอย่างแท้จริง ตลอดจนสามารถประเมินผลสัมฤทธิ์ได้ โดยการส่งมอบงานวิจัยและนวัตกรรม ผ่านศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 4 (ศปป.4) ในการขยายผลเทคโนโลยี เรื่อง “เครื่องวัดข้อมูลฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศด้วยระบบเซ็นเซอร์เชื่อมต่อข้อมูลด้วยระบบสถาปัตยกรรมเน็ตเวิร์คอัจฉริยะ” ในพื้นที่ทำงานของ กอ.รมน. จังหวัด ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 4 ภาค 



ในปี 2563 และในปี 2564 มีแผนขยายผลนวัตกรรมเรื่อง “ถังหมักประสิทธิภาพสูงเพื่อการจัดการขยะอินทรีย์ในระดับชุมชน” โดยขยายผลเทคโนโลยีในพื้นที่ดูแลของ ศปป.4 กอ.รมน. ให้ครอบคลุมทั้ง 4 ภาค ใน 22 พื้นที่ 14 จังหวัด และศูนย์ประสานการปฏิบัติที่ 5 (ศปป.5) กอ.รมน. ในการขยายผลการใช้ประโยชน์ผลงานวิจัยและนวัตกรรม เรื่อง เสื้อเกราะกันกระสุนน้ำหนักเบาที่ผ่านมาตรฐานสากลระดับ NIJ III (NIJ 3) ในพื้นที่การดูแลของ กอ.รมน. ภาค 4 ส่วนหน้า (3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) และกองทัพภาคที่ 4

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564

อว. ดันเศรษฐกิจฐานรากภาคเหนือตอนบน หวังเพิ่มมูลค่าหัตถกรรมชุมชนในยุค New Normal 

อว. ดันเศรษฐกิจฐานรากภาคเหนือตอนบน หวังเพิ่มมูลค่าหัตถกรรมชุมชนในยุค New Normal 


 สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) สนับสนุนการอบรมโครงการ การพัฒนายกระดับผลิตภัณฑ์หัตถกรรมชุมชนในภาคเหนือตอนบนด้วยนวัตกรรมสร้างสรรค์ และทุนทางวัฒนธรรมและทรัพยากรท้องถิ่นสู่การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่มูลค่าของผลิตภัณฑ์ มุ่งพัฒนาทักษะองค์ความรู้ ศักยภาพบุคลากรและผู้ประกอบการหัตถกรรมพื้นเมืองที่มีความแตกต่างและโดนเด่นตามความต้องการของตลาดในยุค New Normal 



 (วันนี้ 28 มีนาคม 2564) เวลา 13.30 น. ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดการอบรมเพื่อเพิ่มสมรรถนะด้านการออกแบบสร้างสรรค์ของผู้ประกอบการหัตถกรรมพื้นเมือง สำหรับตลาดในยุค New Normal Creative Design Competency Enhancement of Local Craft Entrepreneurs for New Normal Market Workshop” หรือ Koyori Project 2021 พร้อมเยี่ยมชมผลงานวิจัยเด่น ด้านศิลปและวัฒนธรรม ณ ห้องประชุมโพธิพุทธ ชั้น 4 อาคารเรียนรวมและศูนย์พัฒนาเทคโนโลยี เพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาล้านนา คณะศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา (เจ็ดยอด) ตำบลช้างเผือก จังหวัดเชียงใหม่ โดย วช. ร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จัดการอบรมมีผู้ร่วมโครงการอบรมในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือ ได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ และจังหวัดน่าน 


เพื่อพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ และเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรและผู้ประกอบการหัตถกรรมพื้นเมืองในเขตภาคเหนือตอนบน ให้มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หัตถกรรมพื้นเมืองให้มีความโดดเด่นตรงตามความต้องการของตลาดในยุค New Normal โดยเน้นใช้นวัตกรรมและวัฒนธรรมสร้างสรรค์ และศึกษาความต้องการทางการตลาดของสินค้าหัตถกรรมพื้นเมือง และช่องทางการตลาดที่เหมาะสม ให้ผู้ประกอบการหัตถกรรมในเขตภาคเหนือเพื่อสร้างรายได้และพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากได้อย่างยั่งยืน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง ผู้อำนวยการสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ เปิดเผยว่า วช. มุ่งเน้นการดำเนินงาน เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็ง พร้อมขับเคลื่อนนโยบายในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎร กลุ่มวิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการชุมชนทั่วไป ให้สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชน สนับสนุนผลิตภัณฑ์ชุมชน โดยการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ให้มีมูลค่าเพิ่ม สร้างการเรียนรู้ ฝึกอาชีพ การนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีที่ เหมาะสมมาประยุกต์ โดย วช. ได้จัดสรรงบประมาณในการดำเนินกิจกรรมโครงการ เรื่อง “การยกระดับผลิตภัณฑ์หัตถกรรมชุมชนในภาคเหนือตอนบนด้วยนวัตกรรมสร้างสรรค์ และทุนทางวัฒนธรรมและทรัพยากรท้องถิ่นสู่ การพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและการเพิ่มประสิทธิภาพห่วงโซ่มูลค่าของผลิตภัณฑ์” แก่ ดร. สุรพล ใจวงศ์ษา แห่ง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลล้านนา จังหวัดเชียงใหม่ ด้าน ดร. สุรพล ใจวงศ์ษา เปิดเผยว่า คณะนักวิจัย ได้ร่วมกับสมาคมวัฒนหัตถศิลป์ล้านนา, สำนักงานพาณิชย์จังหวัดลำปาง ลำพูน พะเยา น่าน แพร่ เชียงราย และ แม่ฮ่องสอน ลงพื้นที่การอบรมเพิ่มทักษะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ ภายใต้โครงการ Koyori โดยดึงเอาจุดเด่นของวัฒนธรรมในแต่ละผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น ผสมผสานกับแนวคิด การออกแบบแฟชั่นดีไซน์จากผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบจากไทยและต่างชาติ พัฒนาเอกลักษณ์และการเสริมคุณค่า หัตถกรรมพื้นบ้านในเขตภาคเหนือตอนบน โดยมุ่งเน้นในการพัฒนา 4 ด้าน



 ได้แก่ 1) ด้านผลิตภัณฑ์และผู้ประกอบการ เน้นการพัฒนาทักษะ องค์ความรู้ และเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากรและผู้ประกอบการ ให้มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถพัฒนาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หัตถกรรมที่มีความแตกต่างและโดดเด่นที่ตรงกับความต้องการของตลาดโดยใช้นวัตกรรมและวัฒนธรรมสร้างสรรค์ตลอดห่วงโซ่ 2) ด้านการตลาด เน้นการพัฒนาตลาดอนาคตสำหรับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ หัตถกรรมในเขตภาคเหนือตอนบนที่เหมาะสมและเพิ่มมูลค่าด้วยการใช้ digital marketing platform และการเชื่อมโยงกับการตลาดยุคใหม่ยุค new normal 3) ด้านการสร้างแบรนด์ เน้นการเสริมสร้างเอกลักษณ์และเพิ่มคุณค่าของสินค้าหรือผลิตภัณฑ์หัตถกรรมด้วยทุนทางวัฒนธรรม การออกแบบสร้างสรรค์ และภูมิปัญญาท้องถิ่น และการประชาสัมพันธ์สู่ภายนอก และ 4) ด้านการสร้างเครือข่าย เน้นในการเชื่อมโยงระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในห่วงโซ่การผลิต ผลิตภัณฑ์หัตถกรรมเพื่อการพัฒนาและเพิ่มคุณค่าของสินค้าโดยเฉพาะการทำงานร่วมกันระหว่างนักออกแบบรุ่นใหม่และผู้ประกอบการ และการศึกษาและประเมินถึงผลกระทบจากโครงการ โดยโครงการคำนึงถึงมิติการพัฒนา 4 ด้าน 


คือด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล เพื่อการยกระดับผลิตภัณฑ์หัตถกรรมจากรากฐานทางวัฒนธรรมท้องถิ่น ในเขตภาคเหนือตอนบนมุ่งเน้นที่จังหวัดรอง ได้แก่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน พะเยา แพร่ น่าน เชียงราย เชียงใหม่ - ให้เกิดการพัฒนาผลิตภัณฑ์หัตถกรรมท้องถิ่น ที่สามารถถ่ายทอดอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมได้อย่างร่วมสมัย และเกิดพลังขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นในภูมิภาคต่อไป ทั้งนี้มีผู้เข้าร่วมโครงการ จำนวน 88 คน ที่ประกอบด้วยอาจารย์ผู้บรรยายและที่ปรึกษาจากต่างประเทศ นักออกแบบรุ่นใหม่ ครูช่างผู้ประกอบการหัตถกรรม OTOP และกลุ่มหัตถกรรมในพื้นที่มูลนิธิโครงการหลวง

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2564

ชุดสืบสวนสภ. บางปะกงรวบชายอ้างเป็นตำรวจเข้าตรวจค้นรถผู้เสียหายภายในปั๊มน้ำมันก่อนจะฉวยโอกาสชิงทรัพย์แล้วหลบหนี  


วันที่ 27 มี.ค. 64 เวลา 02.30 น. ได้มีเหตุคนร้ายเพศชายอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอทำการตรวจค้นรถของชาวบ้านที่จอดอยู่ในบริเวณภายในปั้มน้ำมันเชลล์ ริมถนนบางนา-ตราด ขาเข้า กรุงเทพมหานคร กม.39 ต.บางสมัคร อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา จากนั้นได้ลักเอาทรัพย์สินไป นั้น 


จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบ นายพรชัย หล่าเพีย อายุ 23 ปี แสดงตัวเป็นผู้เสียหาย จากการสอบถามข้อมูลเบื้องต้นได้ความว่า ก่อนเกิดเหตุผู้เสียหายได้ขับขี่รถยนต์กระบะ โตโยต้า ทะเบียน บม-5587 จันทบุรี เข้ามานอนพักภายในปั้มน้ำมัน ต่อมาได้มีคนร้ายเพศชาย นำไฟฉายมาส่อง,เคาะกระจกเรียก แล้วอ้างว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอทำการตรวจค้นรถของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อ และให้ตรวจค้น คนร้ายได้ลักเอาโทรศัพท์ของผู้เสียหายแล้วขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไป  เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.บางปะกง จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบว่าคนร้ายได้หลบหนีอยู่ที่โรงแรมบีบีกลาสเฮ้าส์ ถนนพัฒนาการ แขวงสวนหลวง แขวงสวนหลวง กรุงเทพมหานคร จึงได้เดินทางไปตรวจสอบโดยได้ประสานงานเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.คลองตัน เข้าร่วมตรวจสอบด้วย จากการตรวจสอบพบ นายพันธการณ์ นาคสมบูรณ์ ผู้ก่อเหตุอยู่ที่โรงแรมดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สภ.บางปะกง และ เจ้าหน้าที่ตำรวจงานป้องปันปราบปราม สน.คลองตัน จึงได้ทำการจับกุมตัวนายพันธการณ์ นาคสมบูรณ์ ผู้ต้องหา พร้อมของกลางรถจักรยานยนต์ที่ใช้ก่อเหตุ และโทรศัพท์ของกลางที่ได้ลักเอาไป  จากการตรวจสอบทรัพย์สินที่ผู้ต้องหาครอบครองอยู่พบของมีค่าหลายรายการ 




ได้แก่  1.แว่นตากันแดดสีดำยี่ห้อ Ray Ban พร้อมกล่องแว่น จำนวน 2 อัน  2.นาฬิกายี่ห้อ SEIKO สเตนเลสตัวเรือนและสายสีเงิน   3.สร้อยคอโลหะสีทอง จำนวน 1 เส้น พร้อมพระเครื่องพิมพ์พระสมเด็จเนื้อผง จำนวน 1 องค์ 4.กระเป๋าคาดเอว ยี่ห้อ จอแดน สีแดง จำนวน 1 ใบ 5.เหรียญพยาครุฑ จำนวน 1 องค์ 6.สร้อยคอโลหะสีทอง จำนวน 1 เส้น พร้อมพระเครื่องลอยองหลวงปู่ชัยเลี่ยมกรอบสีทองจำนวน 1 องค์ 7.สร้อยคอโลหะสีทอง จำนวน 1 เส้น พร้อมล็อกเก็ตเลี่ยมโลหะสีทอง จำนวน 1 องค์ 8.แหวนโลหะสีทอง จำนวน 2 วง สถานีตำรวจภูธรบางปะกง จึงขอประชาสัมพันธ์หาเจ้าของทรัพย์ หากท่านใดเคยตกเป็นผู้เสียหายหรือเคยถูกคนร้ายที่มีลักษณะดังกล่าวแสดงตนอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอตรวจค้นรถแล้วลักเอาทรัพย์สินไป ให้ติดต่อมาขอรับทรัพย์สินได้ที่ ร.ต.ท.ณรงค์ศักดิ์ กันจิน๊ะ รอง สว.(สอบสวน) สภ.บางปะกง หมายเลขโทรศัพท์ 0993535544

วันศุกร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2564

วันที่ 21 มีนาคม 2564 งานทำบุญปิดทองหลวงพ่อประทานพรวัดอ่วมอ่องประชานฤมิตร 


พระครูนนทกิจโกศล เจ้าอาวาสวัด อ่วมอ่องประชานฤมิตร ได้จัดงานวัดและได้เอาเครื่องจักรโบราณที่หาดูยากเอามาโชว์ให้ชาวบ้านได้ดูและเรียนรู้ เกี่ยวกับเครื่องจักรโบราณที่หาดูยากสมัย 100 ปีที่ผ่านมาและยังใช้งานได้อยู่ให้ชาวบ้านได้เห็นของเก่าแก่ที่หาดูยากเพื่อเป็นการเรียนรู้วัฒนธรรมของเก่าแก่ที่หาดูยาก ณ. ที่วัดอ่วมอ่องประชานฤมิตร 















เอ.คนข่าวรายงาน

วันพฤหัสบดีที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2564

พ่อร้องสื่อ ลูกชายถูกตำรวจอุ้มไปซ้อม ผ่านมาเกือบปี คดีไม่คืบหน้า... เตรียมนำเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. 

พ่อร้องสื่อ ลูกชายถูกตำรวจอุ้มไปซ้อม ผ่านมาเกือบปี คดีไม่คืบหน้า... เตรียมนำเอกสารหลักฐานเข้าร้องเรียนถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. 


พ่อของผู้ได้รับบาดเจ็บร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน หลังลูกชายถูกกลุ่มตำรวจกว่า 5 คน เข้ามาในบ้านโดยไม่มีหมายค้น แลัวอุ้มลูกชายไปทำร้าย เตะและตบบ้องหู และใช้ถุงพลาสติกคุมหัวแล้วยกขึ้นทำซ้ำๆ หลายครั้ง จนขาดอากาศหายใจ ต้องร้องขอชีวิต ก่อนปล่อยตัวยังข่มขู่ห้ามไปบอกใคร ห้ามไปบอกสื่อ ผ่านมา เกือบปีแต่คดีไม่คืบหน้า...หวั่นได้รับอันตราย 





 วันที่ 25 มี.ค.64 นายวิวัฒน์ แก้วงาม อยู่บ้านเลขที่ 81/39 ม.11 ต.หนองตาแต้ม อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ผู้เสียหาย เล่าว่าเมื่อวันที่ 20 ก.ค.2563 เวลาประมาณ 15.00 น. ช่วงเกิดเหตุตนอยู่ที่บ้านได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์ เข้ามาในบ้านโดยบอกว่าเป็นตำรวจโดยไม่มีหมายค้นแต่อย่างใด โดยหนึ่งในนั้น ได้เดินมาเคาะและขย่มประตูบ้านพร้อมกับพูดเสียงดังในลักษณะตะคอกว่า "มึงเปิดประตู มึงเปิดประตู มึงเปิดประตูเดี๋ยวนี้" ผู้เสียหายด้วยความกลัว และก็ตกใจ จึงได้ลุกขึ้นไปเปิดประตูบ้าน หลังจากนั้นกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว ได้เข้ามาในบ้านทันที บังคับให้ผู้เสียหาย ให้นั่งอยู่นิ่งๆ และยึดโทรศัพท์พร้อมพูดว่า "ห้ามโทรหาใคร" ส่วนคนอื่นๆ ก็ทยอยเข้ามาภายในบ้านแล้วต่างคนต่างก็ได้แยกย้ายกันไปตรวจค้นภายในบ้าน ผู้เสียหายจึงสอบถามกลุ่มชายฉกรรจ์ว่า "เป็นใคร ต้องการอะไร มีสิทธิ์อะไรมาทำแบบนี้ในบ้านของผม" หนี่งในกลุ่มชายฉกรรจ์บอกว่า "มึงก็รู้ว่าพวกกูเป็นตำรวจ มึงอย่าหัวหมอ" หลังจากพูดจบคนที่พูดก็ได้เตะเข้าที่ชายโคลงด้านซ้าย 1 ครั้ง และตบที่ศรีษะอีก 1 ครั้ง แล้วคนอื่นๆ ก็บังคับให้พี่สะใภ้ของตนเดินไปเปิดประตูห้องภายในบ้านทุกห้อง กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว ต่างแยกย้ายกันตรวจรื้นค้นภายในบ้าน และนอกบ้าน ทั้งๆ ที่ผู้เสียหายห้ามทำการตรวจค้น แต่ก็ไม่มีใครเชื่อฟัง หลังจากนั้นแม่ของผู้เสียหายได้กลับมาที่บ้าน กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว ได้บังคับให้แม่ผู้เสียหายไปเปิดตู้เซฟภายในห้องนอน เมื่อเปิดเซฟออกมาก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว อ้างเป็นตำรวจแต่ไม่ได้แต่งเครื่องแบบชุดตำรวจ ไม่แสดงตัวตนว่าเป็นตำรวจ หลังจากตรวจค้นก็ไม่พบสิ่งผิดกฎหมายภายในบ้าน กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว ได้นำตัวผู้เสียหายขึ้นรถยี่ห้อ Toyota รุ่น Fortuner สีดำไม่ทราบหมายเลขทะเบียน โดยให้ผู้เสียหายนั่งส่วนท้ายบริเวณสำหรับวางของภายในรถ หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ได้ขับรถจักรยานยนต์ยี่ห้อ Yamaha รุ่น Fino หมายเลขทะเบียน ขฉษ 129 จ.ประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งเป็นรถของแม่ผู้เสียหาย ขับออกไปโดยพละการ 



กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวได้นำตัวผู้เสียหายมาที่บ้านพักหลังหนึ่ง อยู่ใกล้กับเคหะแห่งชาติบ้านเอื้ออาทรหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ห่างจากบ้านผู้เสียหายประมาณ 10 กิโลเมตร ภายในบ้านยังมีกลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณ 4-5 คน กำลังเล่นการพนันไฮโลกันอยู่ กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวได้นำตัวผู้เสียหายเข้าไปในบ้านพัก และบังคับให้ผู้เสียหายล่อซื้อยาเสพติด ทั้งๆที่ผู้เสียหายไม่ยินยอมเพราะผู้เสียหายไม่รู้จักคนขาย และคนเสพยาเสพติด หนึ่งในนั้นจึงพูดว่า "มึงอย่ากวนตีน" จากนั้นหนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ได้มัดมือผู้เสียหายไขว้หลัง และใส่กุญแจมือ พร้อมกับเตะเข้าบริเวณลำตัวของผู้เสียหาย ผู้เสียหายล้มลงแล้ว ยังได้กระทืบซ้ำบริเวณหลัง และได้เตะผู้เสียหายอีกหลายครั้ง หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นนายตำรวจยศ รตอ.ได้พูดว่า "มึงหายาให้กูได้ไหม" ผู้เสียหายจึงได้ปฎิเสธว่าไม่รู้จักผู้ขายจริงๆ ตำรวจยศ รตอ.ดังกล่าว ได้ถีบที่ต้นขาผู้เสียหาย หลังจากนั้น หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ได้นำถุงพลาสติกแบบหูหิ้วสวมศีรษะคุมตลอดจากลำคอของผู้เสียหายแล้วรีดอากาศภายในถุงออกปิดปากปิดจมูกและรัดคอ เพื่อให้ผู้ที่หายทรมานและหายใจไม่ออก แล้วหิ้วขึ้นจนถุงพลาสติกขาด จากนั้นหนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ทำซ้ำแบบเดิมแต่เพิ่มถุงพลาสติกเป็น 2 ใบซ้อนกัน เพื่อให้หนากว่าเดิมแล้วหิ้วยกขึ้น จนถุงขาดหลังจากถุงขาดแล้ว ก็ได้พูดบังคับข่มขู่ให้ผู้เสียหายทำการล่อซื้อยาเสพติด ผู้เสียหายก็ปฏิเสธต่อกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวว่าไม่รู้จักผู้ขายยาเสพติดจริงๆ หนึ่งในกลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าว ก็ได้นำถุงพลาสติกมาทำแบบเดิมอีกหลายครั้ง จนผู้เสียหาย หายใจไม่ออกจนเกือบจะตาย ผู้เสียหายได้ร้องขอชีวิตหลายครั้ง กลุ่มชายฉกรรจ์ดังกล่าวเมื่อเห็นว่าผู้เสียหายไม่สามารถหายาเสพติดให้ได้จึงได้ปล่อยตัวในเวลา 21.00 น. ของวันที่เกิดเหตุพร้อมกับพูดข่มขู่ห้ามไม่ให้ผู้เสียหายบอกใครหรือแจ้งความร้องทุกข์หรือร้องเรียนหน่วยงานใดหากมิฉะนั้นจะโดนกระทำหนักกว่าเดิมและยัดยาเสพติดเพื่อจับกุมดำเนินคดี 




ภายหลังได้รับการปล่อยตัวผู้เสียหายได้กลับมาที่บ้านกินยาแก้ปวด ไม่ได้ไปหาหมอทันทีเนื่องจากเป็นช่วงเวลาดึกและเกรงว่าจะไม่ปลอดภัย จนรุ่งเช้าของวันที่ 21 ก.ค. 2563 ผู้เสียหาย จึงได้เดินทางไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลค่ายธนะรัชต์ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ผลการตรวจ สั่งยาแล้วกลับมาบ้านเพื่อรอดูอาการแต่อาการของผู้เสียหายไม่ทุเลา ต่อมาวันที่ 22 ก.ค. 63 ผู้เสียหายได้เข้ารับการรักษาที่ โรงพยาบาลกรุงเทพ-หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ แพทย์ให้นอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล 1 คืน ความเห็นของแพทย์ระบุว่ามีบาดแผลถลอกเป็นแนวยาวรอบคอและข้อมือทั้งสองข้างกว้างประมาณ 1.5 ซม.บาดแผลรอยพกช้ำที่บริเวณลำคอด้านซ้าย ขนาด 2 ซม. บาดแผลพกช้ำบริเวณใบหูซ้ายขนาด 3 ซม. บาดแผลถลอกบริเวณหลังส่วนล่างด้านขวาขนาด 3 ซม. และการปวดบริเวณลำคอ ผู้เสียหายกล่าวเพิ่มเติมว่า ตนไม่ได้แจ้งความไว้ที่พนักงานสอบสวนเจ้าของพื้นที่ ที่เกิดเหตุเนื่องจากเกรงว่าจะไม่รับความเป็นธรรมและไม่ปลอดภัย ผู้เสียหายจึงได้ดำเนินการฟ้องต่อศาลเองและมีความประสงค์จะดำเนินคดีด้วยตนเองจนถึงที่สุด ด้านผู้ใหญ่วิโรจน์ แก้วงาม พ่อของผู้เสียหายกล่าวว่า...ตนรู้สึกเสียใจ และส่งสารลูกมาก ที่ถูกตำรวจซ้อมเกือบปางตายแล้วแถมจะยัดยาให้กับลูกตนอีก ถึงขั้นเอาถุงพลาสติกครอบห้วแล้วยกขึ้นทำให้ลูกของตนขาดอากาศหายใจทำซ้ำๆจนลูกชายต้องร้องของชีวิต จึงอยากให้ทางเจ้าหน้าที่เร่งทำคดี จับตัวผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีตามกฏหมายให้ถึงที่สุด แต่อีกใจหนึ่งก็กลัวความปลอดภัยของครอบครัวและลูกชายตน ผู้ใหญ่วิโรจน์ แก้วงาม ได้ให้ข้อมูลกับผู้สื่อข่าวที่ลงพื้นที่เพิ่มเติมว่า...ได้มีกลุ่มชายฉกรรจ์วนเวียนเข้ามาหาและติดตามตลอด ขอให้ตนและครอบครัวยอมไกล่เกลี่ยไม่แจ้งความกล่าวโทษร้องทุกข์แก่กลุ่มตำรวจดังกล่าว พร้อมเสนอเงินเยียวยาให้ตนและครอบครัวเป็นเงินจำนวนหลายแสนบาท เพื่อจะได้ยุติคดีความ แต่ตนได้ปฏิเสธไป แล้วขอดำเนินคดีให้ถึงที่สุด สวนคดีความได้ผ่านมาเกือบปีแล้วไม่มีความคืบหน้าจึงมาร้องเรียนผ่านสื่อมวลชน ให้ช่วยเหลือ ส่วนในด้านหลักฐานลูกชายตนจดจำใบหน้าตำรวจที่เข้ามาอุ้มได้อย่างชัดเจน และมีกล้องวงจรปิดที่บันทึกเหตุการ์ขณะกลุ่มตำรวจได้เข้ามาในบ้านของตนใว้ทั้งหมด หลังจากนี้ถ้าไม่ได้ความเป็นธรร ม คดีไม่มีความคืบหน้า จะเดินทางมาขอเข้าพบ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ให้ความเป็นธรรมแก่ครอบครัวของตน และจะเดินทางไปร้องขอความเป็นธรรม ที่ศูนย์ร้องเรียนรับเรื่องราวร้องทุกข์ทำเนียบรัฐบาล ให้ช่วยเหลือต่อไป เอ คนข่าว รายงาน

วันจันทร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2564

" บ่าวใหญ่ เชิญยิ้ม " นำทีมนักแสดงคิวบู้สายบุญ มอบตู้กาแฟหยอดเหรียญ แก่ผู้เดือนร้อน สร้างอาชีพ เติมความฝันและอนาคตที่สดใสในวันข้างหน้า ... 


 บริษัท 24 ชั่วโมง คอฟฟี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด โดยนายกฤชเจริญ ดำรงชัยกุล ประธานบริษัทฯ ร่วมกับรายการสะพานอาชีพ และกลุ่มนักบู้สายบุญ ร่วมกันจัดโครงการมอบตู้จำหน่ายกาแฟหยอดเหรียญอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง จำนวน 99 ตู้ แก่ผู้ประสบปัญหาและมีความเดือดร้อนนำไปสร้างอาชีพหาเลี้ยงครอบครัว เพื่อความฝันและอนาคตทีสดใสในวันข้างหน้า  


เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมา สิบเอกมานิตย์ ชูเยาว์ (บ่าวใหญ่ เชิญยิ้ม) ผู้ดำเนินรายการสะพานอาชีพ พร้อมด้วยกลุ่มนักบู้สายบุญ ได้แก่ นายบุญเรือน เงินเติม นายสายฝน กำมะณี นายภาณุวัฒน์ กลิ่นขจร (แรมโบ้) นายศรีสุวรรณ อสุชีวะกำจร นายชมพู ประเสริญ และคุณกนกธร คู่วรัญญู รองประธานอำนวยการ บริษัท 24 ชั่วโมง คอฟฟี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตัวแทนนายกฤชเจริญ ดำรงชัยกุล ประธานบริษัทฯ ได้เดินทางไปที่จังหวัดเพชรบุรี เพื่อมอบตู้จำหน่ายกาแฟหยอดเหรียญอัตโนมัติ 24 ชั่วโมงเครื่องแรก แก่ นายสายัณฆ์ สังข์ประเสริฐ ชาวบ้านบ้านหุบกะพง อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ผู้ประสบปัญหาได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากต้องเลี้ยงดูบุตรสาวที่ประสบอุบัติเหตุถูกรถกระบะพุ่งชน จนได้รับบาดเจ็บจนพิการ เพื่อจะได้มีอาชีพทำกิน สามารถดูแลครอบครัวต่อไปได้อย่างมีความสุข สิบเอกมานิตย์ ชูเยาว์ (บ่าวใหญ่ เชิญยิ้ม) รายการสะพานอาชีพ และเพื่อนกลุ่มนักบู้สายบุญ กล่าวว่า ทางรายการสะพานอาชีพ เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นในการช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือผู้ประสบปัญหาและมีความเดือดร้อน แต่ทางรายการจะไม่ให้เป็นเงินหรือสิ่งของต่างๆ เพราะใช้ไปก็มีวันหมด พอหมดแล้วจะยังไงต่อ จะต้องขอใหม่หรือว่าหาหนทางอื่นๆ ทางเราจะมอบอาชีพให้แทน เพราะมีอาชีพแล้วก็จะสามารถต่อยอดต่อไปได้เรื่อยๆ ไม่มีวันหมด แล้วอาชีพอะไรล่ะที่จะเหมาะสม และไม่เป็นภาระ มีเวลาในการดูแลบุตรหลานและสามารถทำอย่างอื่นได้ไปพร้อมๆ กัน ทางรายการเล็งเห็นว่า “ ตู้จำหน่ายกาแฟหยอดเหรียญอัตโนมัติ 24 ชั่วโมง เหมาะสมที่สุด ” เพราะติดตั้งได้ง่าย สะดวกที่สุด เพียงมีทำเลที่ตั้ง ไม่ต้องเสียเวลามาดูแล สามารถทำกิจกรรมอย่างอื่นได้อีกด้วย จึงได้ไปปรึกษาและนำเสนอแก่บริษัท 24 ชั่วโมง คอฟฟี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายตู้จำหน่ายกาแฟหยอดเหรียญอัตโนมัติ 24 ชั่วโมงที่มีชื่อเสียงและมีคุณภาพ นายกฤชเจริญ ดำรงชัยกุล ประธานบริษัท24 ชั่วโมง คอฟฟี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เห็นว่าเป็นโครงการและเป็นกิจกรรมที่ดีมาก เป็นการช่วยเหลือสังคมอย่างจริงจัง ผู้ที่เดือดร้อนจะได้มีอาชีพ เพื่อความฝันและอนาคตทีสดใสในวันข้างหน้า อยู่ในสังคมได้ต่อไป ก็เลยยินดีร่วมสนับสนุนโครงการนี้ 


 คุณกนกธร คู่วรัญญู รองประธานอำนวยการ บริษัท 24 ชั่วโมง คอฟฟี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า บริษัท 24 ชั่วโมง คอฟฟี่ คอร์ปอเรชั่น มีความยินดีอย่างมากที่ได้ร่วมกับทางรายการสะพานอาชีพในการมอบตู้จำหน่ายกาแฟหยอดเหรียญอัตโนมัติ 24 ชั่วโมงแก่ผู้ที่ประสบปัญหาและได้รับความเดือดร้อน ตู้จำหน่ายกาแฟหยอดเหรียญอัตโนมัติ 24 ชั่วโมงเป็นตู้ที่มีคุณภาพ ติดตั้งง่าย ใช้เวลาเพียงน้อยนิดก็ติดตั้งเสร็จแล้ว ที่สำคัญกาแฟ โกโก้ ของเราก็เป็นสินค้าที่มีคุณภาพ ถูกหลักอนามัย ไม่มีไขมันทรานส์ ตู้ของเราเวลาเสีย เราเปลี่ยนอะไหล่ให้ฟรี แล้วทุกๆ 3 ปี บริษัทเราเปลี่ยนเครื่องให้ใหม่ และที่สำคัญถ้าตู้จำหน่ายกาแฟหยอดเหรียญอัตโนมัติ 24 ชั่วโมงเสียหายเนื่องจากเกิดอุบุติเหตุ เช่น รถชน หรือถูกขโมย บริษัทของเรามีทำประกันไว้กับบริษัทประกันภัยด้วย สิบเอกมานิตย์ ชูเยาว์ (บ่าวใหญ่ เชิญยิ้ม) รายการสะพานอาชีพ กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ที่ประสบปัญหาและได้รับความเดือดร้อน ถ้าสนใจอยากมีอาชีพ สามารถเลี้ยงครอบครัวได้อย่างมีความสุข ก็ติดต่อเข้ามาได้ที่ FANPAGE บ่าวใหญ่ เชิญยิ้ม หรือ PAGE ไทยสี่ภาคแอนด์มูฟวี่ หรือ โทร. 062-945-5499 และ 094-830-6356 หรือผู้ใจบุญท่านใดต้องการร่วมช่วยเหลือผู้ยากไร้ ร่วมกับรายการ สามารถติดต่อกับทางรายการได้ในช่องทางเดียวกัน มาร่วมกันช่วยเหลือคนดีในสังคมที่ยังต้องการโอกาส เงินเพียงเล็กน้อยของท่าน อาจเป็นโอกาสสร้างชีวิตใหม่ให้กับพวกเขา ...

มูลนิธิ กต.ตร.นนทบุรี,กต.ตร.จว.นนทบุรีและที่ปรึกษาฯมอบถุงยังชีพ จำนวน 1,000 ชุดในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี 

มูลนิธิ กต.ตร. นนทบุรี, กต.ตร.จว.นนทบุรี และที่ปรึกษาฯ มอบถุงยังชีพ จำนวน 1,000 ชุดในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี 


 วันนี้ (22 มีนาคม 2563 ) เวลา 10.00 น. ดร.สุจินต์ ไชยชุมศักดิ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนนทบุรี พล.ต.ต.ไพศาล วงศ์วัชรมงคล ผบก.ภ.จว.นนทบุรี ดร.ชัยรัตน์ จำนงค์การ ประธาน กต.ตร.จังหวัดนนทบุรี (ภาคประชาชน),นายทวีศักดิ์ สุทิน ,นายสุรสีห์ ศรีอินทร์สุทธิ์กต.ตร.จว.นนทบุรี,ดร.พีรวัฒน์ สุรเศรษฐ ประธาน กต.ตร.กทม. ,ในนามมูลนิธิ กต.ตร.นนทบุรี ,คณะ กต.ตร.และนาย ธนพัต ปิติวราธนกุล จังหวัดนนทบุรีและคณะนักศึกษา ปปร.รุ่นที่ 24  










ได้มอบถุงยังชีพเครื่องอุปโภค-บริโภค ข้าวสาร น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำพริก น้ำปลา น้ำดื่ม ฯลฯ ให้กับ อสม. ผู้พิการและผู้ด้อยโอกาส ในตำบลคลองพระอุดม ตำบลคลองข่อยและตำบลบางใหญ่ ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี จำนวน 1,000 ชุด ณ ห้องประชุมโรงเรียนวัดสะพานสูง อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี