ด้วยศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผอ.ศปอส.ตร. ,พล.ต.ท.ธีรพล คุปตานนท์ ผบช.ทท. ได้รับร้องเรียนจากประชาชน ซึ่งตกเป็นเหยื่อกลุ่มมิจฉาชีพ เปิดบริษัทขายกาแฟในลักษณะแชร์ลูกโซ่ มูลค่าความเสียหายมากกว่า 3,000 ล้านบาท เข้าข่ายกระทำความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน จึงได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริง และประสานพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ดำเนินคดีตามกฎหมาย
จากการสืบสวนทราบว่ามิจฉาชีพกลุ่มนี้มี นายทรงทรัพย์ การะภักดี ,นายฉัตรคชายัน วงศ์ธนะพัชระ , นางประทุมทิพย์ ประเสริฐ และ นางสาวทิพย์ภาภรณ์ พรมประกอบ รวม 4 ราย มีพฤติการณ์ร่วมกันเปิดบริษัทขายกาแฟ ใช้ชื่อว่า บริษัท กาแฟแคชแบ็ค จำกัด แถลงข่าวเปิดตัวเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2561 อ้างว่าจับมือกับหน่วยงานราชการหลายหน่วย คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI),กระทรวงพาณิชย์,กรมสรรพากร,สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) และกรรมการบริษัทฯ อ้างว่ารู้จักตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งหน่วยงานและนายตำรวจที่ถูกแอบอ้างไม่มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด มีสื่อมวลชนหลายแขนงร่วมทำข่าว ประชาสัมพันธ์โครงการว่าเพื่อช่วยเหลือประชาชนลากหญ้า ชักชวนประชาชนให้สมัครเป็นสมาชิกกับบริษัทผ่านทางเว็ปไซค์ www.cofcashback.com โดยลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท จะได้รับรหัสสมาชิกและกาแฟ 3 กล่อง กล่องละ 350 บาท หรือสินค้าตัวอื่น เช่น ครีม หรือกระทะจักรพรรดิ และจะได้รับผลตอบแทนเป็นเงินจำนวน 2,050 บาท ต่อ 30 วัน แบ่งเป็น 6 งวดจ่ายทุกๆ 5 วัน จึงทำให้เกิดความน่าเชื่อถืออย่างมากและมีประชาชนหลงเชื่อสมัครเป็นสมาชิกจำนวนมากกว่า 86,000 รหัส ซึ่งช่วงแรกได้รับผลตอบกลับมาเพียงเล็กน้อย บางรายชักชวนญาติพี่น้องมาลงสมัครด้วย
ต่อมาวันที่ 23 ตุลาคม 2561 บริษัท กาแฟแคชแบ็ค ประกาศในเว็ปไซด์ว่าบริษัทมีปัญหาจ่ายเงินให้สมาชิกไม่ได้ ขอคืนเงินทุนให้และเพิ่มอีก 20% ของเงินทุน โดยแบ่งจ่าย 4 รอบ ช่วง 27-31 ตุลาคม 2561 แต่ไม่มีสมาชิกได้รับเงิน จากนั้นบริษัทฯ ได้ปิดตัวลง และปิดเว็ปไซด์ลง พร้อมทั้งข่มขู่สมาชิกว่าถ้าใครไปแจ้งความจะฟ้องกลับเนื่องจากทำให้บริษัทฯ เสียชื่อเสียง และระงับจะรหัสไม่จ่ายเงินให้ มีประชนที่ตกเป็นเหยื่อไม่ได้รับเงินเครียดถึงขั้นต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ซึ่งขณะนี้มีผู้เสียหายกลุ่มแรกจำนวน 25 คน เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และพนักงานสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติต่อศาลเพื่อ
ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 4 ราย ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง,ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ,ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป้นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ”
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2561 เจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศได้ติดตามจับกุมตัว นายทรงทรัพย์ การะภักดี ,นายฉัตรคชายัน วงศ์ธนะพัชระ นำส่งพนักงานสอบสวนกองกำกับการ 5 กองบังคับการปราบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ส่วนอีก 2 รายอยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัว และจากการสืบสวนสอบสวนขยายผลทราบว่ายังมีผู้ร่วมขบวนการอีกหลายรายซึ่งอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อขออนุมัติออกหมายจับและติดตามจับกุมตัวต่อไป
นอกจากผู้เสียหายกลุ่มแรกแล้วยังมีผู้เสียหายที่รวมตัวกันที่จะเข้าแจ้งความอีกกว่า 1,000 คน ซึ่งทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะเตรียมการณ์เพื่อรับแจ้งความกับผู้เสียหายที่เหลือนี้อีกต่อไป
//ขอขอบคุณ ภาพ/ ข่าว จาก
พ.ต.ต.หญิงพัชรี ศรีเผือก สว.ฝอ.5 บก.อก.สตม.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น